พล็อตเรื่องที่จะเขียนประเด็นมันเริ่มที่ความต้องการส่วนตัวเป็นทุนประทุอย่างเดียวเลยหางตากระตุกใส่ GWM THANK 300 ตั้งแต่เปิดตัวแรกๆที่เป็นรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร HEV ไฮบริด

คืออยากได้มาใช้งาน (ทั้งที่ตัวเองไม่ใช่สายลุย) ด้วยเพราะความขลังของเรโทรดีไซน์ สไตล์ ทรงเหลี่ยม บ็อกซี่อันมีสตอรี่มาจากทรงรถทหารยุคสงครามโลก (จะเล่าแถมให้อ่านตอนท้าย)ที่ออกแบบให้มุมมองทัศนวิสัยดี แข็งแรงทนทานบึกบึน ขึ้น-ลงง่ายมีพื้นที่ใช้สอยสูงสุด บรรทุกและขนถ่ายสัมภาระสะดวก (จะเล่าแถมให้อ่านตอนท้าย) ตรงนี้น่าจะเป็นคำจำกัดความของ Boxy utility vehicle ที่หมายความถึงอารมณ์ “เซ็กซี่” บนร่าง “บ็อกซี่” ที่ชัดเจนที่สุด

ความต้องการทะยานอยากได้ GWM THANK 300 ยืดเวลาเนิ่นนานมาจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ได้ชื่นชมสมหวัง แม้ GWM THANK 300 จะปรับนำเครื่องยนต์ ดีเซล 2.4 เทอร์โบเข้ามาประจำการเมื่อต้นปี 2568 รวมถึงการรับประกันวารันตี 8 ปี 1,000,000 กิโลเมตร ก่อนกระทุ้งด้วยแคมเปญปรับลดราคาเริ่มต้น 999,000 บาทในตัว PRO ขับเคลื่อน 2 ล้อ เล่นเอายอดขายเดินเบากลายเป็นกวาดยอดรอบสวิงหมดสต๊อกอย่างรวดเร็ว ปรากฎการที่เกิดขึ้นกับ GWM TANK 300 DIESEL 2.4T ทำให้กระแส SUV Boxy ฟีเวอร์ขึ้นมาทันที รถยนต์ SUV จากทุกค่ายโดยเฉพาะกับประเทศจีนเองต่างปรับจัดคัด Boxy SUV ที่มีในสังกัดออกมาเกาะกระแส แชร์ยอดขายกันฉ่ำ บางค่ายไปมากกว่ากระแส แห่ลดราคาเข้าสู้ ส่งผลช่วงนี้หายใจหายคอเป็น SUV Boxy ไปหมด เขียนมาถึงตรงนี้ตอนแรกกะว่าจะเขียนให้อ่านกันแค่ความ GWM TANK 300 DIESEL 2.4T พอไหลยาวมาถึงตรงนี้เอาเป็นว่าขอขยายความ ที่มาที่ไป ตามที่จ่าหัว ไทม์ไลน์ ไฮไลท์ เกรท วอลล์ มอเตอร์ สู่ จี-ดับเบิลยู-เอ็ม THANK 300 2.4T กันแบบจบๆไปในบทความนี้บทความเดียวเลยก็แล้วกัน

เริ่มกันตั้งแต่ 9 กุมภาพันธ์ ปี2564 GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) เปิดม่านลงทุนและจ้างงานในประเทศไทย ด้วยเม็ดเงินลงทุนสูงถึง 2.2 หมื่นล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยในเดือนกันยายนปี 2563 ที่ผ่านมา เกรท วอลล์ มอเตอร์ได้ลงนามเซ็นสัญญาซื้อโรงงานจากเจนเนอรัล มอเตอร์ส (General Motors) เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยมุ่งที่จะสร้างแบรนด์เพื่อส่งมอบเทคโนโลยีและนวัตกรรม ความคล่องตัวและความยั่งยืนในประเทศไทย GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) เป็นบริษัทอุตสาหกรรมยานยนต์บิ๊กบึ้มระดับโลก ก่อตั้งในปี 1984 ภายใต้ชื่อบริษัท เกรท วอลล์ อุตสาหกรรมในปี 1990 มร. แจ็ค เว่ย ซึ่งในขณะนั้นมีอายุเพียง 26 ปี ได้เข้ามาบริหารเกรท วอลล์ มอเตอร์ จนประสบความสำเร็จใหญ่โตจวบจนถึงปัจจุบันด้วยระยะเวลาเพียง 30 ปี เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำทั้งด้านรถกระบะ และรถเอสยูวีระดับโลก

GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) บุกตลาดรถยนต์ประเทศไทย
ไฮไลท์การบุกตลาดรถยนต์ประเทศไทย GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) ใช้งานมอเตอร์โชว์ 2564 เปิดตัวบริษัทฯ ด้วยการเผยโฉม All New HAVAL H6 Hybrid SUVเป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งประเทศไทยและคนไทยเป็นประเทศแรก ด้วยเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 130 กิโลวัตต์ ให้แรงม้าสูงสุด 179 กิโลวัตต์ หรือ 243 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 530 นิวตัน-เมตร จากนั้น GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) เปิดตัวแนะนำรถยนต์ในสังกัดหลากหลายรุ่น หลายเซกเมนต์ ไม่ว่าจะเป็น ORA Good Cat , ORA Black Cat ,POER EV (นำมาโชว์) ก่อนจะเปิด GWM Experience Center แห่งแรกในไทย ณ ไอคอนสยาม มุ่งเป็น The 4th Space พื้นที่ที่ 4 ในการสร้างประสบการณ์ใหม่ของคนไทย จากนั้นเดือนพฤศจิกายน 2564 ทะยอย เปิดตัว All New HAVAL JOLION Hybrid SUV อย่างเป็นทางการ พร้อมเผยราคาสุดเร้าใจ เริ่มต้นที่ 879,000 บาท รวมถึงเผยโฉม All New HAVAL H6 Plug-in Hybrid SUVในงาน Motor Expo 2021 ก่อนที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ส่งท้ายปี 2021 ด้วยยอดขาย All New HAVAL H6 Hybrid SUV กว่า 401 คัน ในเดือนพฤศจิกายน พร้อมยอดจองเพื่อรอส่งมอบของ ORA Good Cat และ All New HAVAL JOLION Hybrid SUV จนถึงสิ้นสุดงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38 รวมกว่า 3,500 คัน

ถัดมาในเดือนมิถุนายน 2565 GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) ขานรับนโยบายการลดลงของภาษีสรรพสามิต ปรับราคา ORA Good Cat ทุกรุ่น ORA Good Cat รุ่น 400 TECH จากราคา 828,500 บาท เป็นราคา 763,000 บาท จากนั้นในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) ประกาศความสำเร็จแจ้งยอดขายและยอดส่งมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั้ง 3 รุ่น ทั้ง All New HAVAL H6 Hybrid SUV ORA Good Cat และ All New HAVAL JOLION Hybrid SUV รวมทั้งสิ้น 2,875 คัน โดยนับตั้งแต่เข้ามาดำเนินกิจการในประเทศไทย GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) ส่งมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้กับคนไทยไปแล้วทั้งสิ้น 11,796 คัน โดยแบ่งเป็นยอดขายภายในปี 2564 จำนวน 3,702 คัน และในปี 2565 (มกราคมถึงกันยายน) จำนวน 8,094 คัน ปลายปี 2565 GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) ขยับประกระบวนท่าอีกครั้งด้วยการขนทัพรถยนต์ไฟฟ้าบุกงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 39 เผยโฉม “ORA Grand Cat” ครั้งแรกในไทย ร่วมด้วยการกลับมาของเอสยูวีออฟโรดสายลุย TANK 500 HEV

GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) ฉลองครบรอบ 2 ปี
GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) ฉลองครบรอบ 2 ปี ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เผยความสำเร็จของการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและสังคมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย ด้วยยอดขายปี 2565 รวมทั้งสิ้น 11,616 คัน ประกาศเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าของไทย (xEV Leader) ด้วยกลยุทธ์เชิงรุก 4 ด้าน ทั้งแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ การขาย และการบริการหลังการขาย พร้อมนำทัพรถยนต์ไฟฟ้าอีก 5 รุ่น เปิดตัวสู่ตลาดไทยในปีนี้ นำทัพโดย TANK 500 TANK 300 และ ORA Grand Cat เสริมทัพด้วยการเปิดรับจองเจ้าเหมียวไฟฟ้า 100% ขวัญใจมหาชน ORA Good Cat ที่จะกลับมาให้แฟนๆ ชาวไทยได้จับจองเป็นเจ้าของอีกครั้ง สะท้อนจุดยืนของ GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) ที่มุ่งมั่นส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับผู้บริโภคชาวไทย ผ่านเทคโนโลยีล้ำสมัยตอบโจทย์ทั้งด้านความปลอดภัยและความสะดวกสบาย พร้อมแผนขนทัพรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามาเปิดตัวในประเทศไทยอีกทั้งหมด 5 รุ่น และเปิดตัวแบรนด์ใหม่อีก 1 แบรนด์ ได้แก่ แบรนด์ TANK โดยผลิตภัณฑ์หลัก 3 รุ่นในปี 2566 คือ TANK 500 รถยนต์เอสยูวีออฟโรดขนาดใหญ่ TANK 300 รถยนต์เอสยูวีออฟโรดขนาดเล็กลงมา (พระเอกของเราในบทความนี้) รวมถึง ORA Grand Cat รถไฟฟ้าสปอร์ตคูเป้สูงสมรรถนะ

ดึงวุฒิกร นั่งรองประธานการตลาดประจำภูมิภาคอาเซียน
ในเดือนมิถุนายน 2566 GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) แต่งตั้ง ‘คุณวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์’ ดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายการตลาด ประจำภูมิภาคอาเซียน ร่วมขับเคลื่อนการเติบโตและการขึ้นเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค ก่อนหน้านี้ ‘คุณวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์’ ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย โดยมีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับตลาดในประเทศไทย ด้วยผลงานที่ประจักษ์ในด้านการเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรมทางการตลาด ส่งผลให้วุฒิกรเป็นบุคคลที่จะเข้ามามีส่วนสำคัญต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงในงานด้านการตลาดของ GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) ในภูมิภาคอาเซียน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยและบริการแก่ลูกค้าในภูมิภาคนี้

เผย 4 กลยุทธ์ฉุดไทยไปรถยนต์พวงมาลัยขวาโลก
GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) เร่งเครื่องสร้างการเติบโตของธุรกิจในไทยสู่ปีที่ 4 ด้วยการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์พวงมาลัยขวาสู่ผู้ใช้งานทั่วโลกรวมถึงปรับเปลี่ยนการดำเนินงานหลากหลายด้านผ่านกลยุทธ์ด้านต่าง ๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการแข่งขันสูง โดยยังยึดมั่นที่จะยังคงดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในระยะยาว นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการให้กับคนไทยอย่างต่อเนื่อง สำหรับในตลาดโลกหลังจากประสบผลสำเร็จในการจำหน่ายแล้วกว่า 14 ล้านคันทั่วโลก Great Wall Motors International ตั้งเป้ายอดจำหน่ายในต่างประเทศที่ 1 ล้านคัน ภายในปี พ.ศ. 2573 โดยในช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน 2567 สามารถทำยอดขายในตลาดต่างประเทศได้ถึง 316,000 คัน เติบโตจากปีที่แล้วถึง 22.17%

แพลนขาย GWM TANK 300 ดีเซล ขับ 2 และ 4X4 ในไทย
ต้นปี 2568 GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) ปลุกกระแสรถเอสยูวีสไตล์ BOXY ให้ได้พบกับการเดินทางครั้งใหม่สำหรับผู้ชื่นชอบรถยนต์เอสยูวีที่มีสไตล์และเอกลักษณ์ที่โดดเด่น แข็งแกร่ง พร้อมตอบโจทย์การใช้งานที่ครอบคลุม มอบความคุ้มค่าทั้งการขับขี่ในชีวิตประจำวันแบบหล่อเหลาและเท่ เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันที่หลากหลายรูปแบบทั้งในเมือง-นอกเมือง GWM TANK 300 มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนใหม่ล่าสุด ทั้งยืนยันคุณภาพและความทนทาน ด้วยการรับประกันคุณภาพถึง 1,000,000 กิโลเมตร

4 จุดเด่นการันตีคุณภาพ เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด
1.ประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงานได้ดียิ่งขึ้น (High Efficiency & Low Fuel Consumption)
เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T ใหม่มาพร้อมกับเทคโนโลยีเทอร์โบแปรผัน (VGT) ที่มีแรงดันสูงถึง 2,000 บาร์ ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ท่อร่วมไอดีแบบคู่ที่ฝาสูบระบบอิเล็กทรอนิกส์ Exhaust Gas Recirculation (ECR) และระบบปั้มน้ํามันเครื่องแบบแปรผัน ทำให้เครื่องยนต์สร้างพละกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ยิ่งขี้น ช่วยลดการปล่อยไอเสีย NOx และประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนั้นเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีดที่มีช่วงอัตราทดเกียร์ที่กว้างถึง 8.843 ทำให้รถสามารถเปลี่ยนเป็นเกียร์ 9 ได้ที่ความเร็วเพียง 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วยให้เครื่องยนต์สามารถปรับอัตราการเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับการขับขี่ในแต่ละสภาพถนน และสอดคล้องกับการทำงานของเครื่องยนต์เพื่อลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็นออกไป โดยอัตราการบริโภคน้ำมันของ GWM TANK 300 DIESEL อยู่ที่ 14 กิโลเมตรต่อลิตร (ตามมาตรฐานการทดสอบ Eco sticker ในประเทศไทย) สำหรับรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ซึ่งน้ำมันหนึ่งถัง (ดีเซล B7) สามารถขับขี่ได้ระยะทางไกลมากกว่า 1,000 กิโลเมตร ดังนั้นเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T ใหม่ของ GWM จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการขับขี่ คุ้มค่า และประหยัดพลังงานได้ดียิ่งขึ้น

2.การขับขี่นิ่ง เงียบ และนุ่มนวล ฉีกกฏเครื่องยนต์ดีเซลโดยทั่วไป (Low Noise, Vibration, and Harshness)
เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T ใหม่ของ GWM มาพร้อมกับเทคโนโลยีลดการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์และการพัฒนาเทคโนโลยีในการลดเสียงรบกวน NVH (Noise, Vibration, Harshness) ที่ยอดเยี่ยม ด้วยการออกแบบใหม่ของท่อไอเสีย เพลาลูกเบี้ยว ปั๊มน้ำมันเครื่อง ท่อน้ำมันแรงดันสูง สายพาน Timing และ Balance Shaft จึงทำให้ห้องโดยสารมีระดับเสียงต่ำกว่า 68 เดซิเบลในช่วง idle speedให้ประสบการณ์การขับขี่ที่เงียบสงบ นิ่ง ไม่สั่น เทียบเคียงได้กับเครื่องยนต์เบนซิน ช่วยให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกสบายในทุกสภาพถนน

3.แรงบิดติดเท้า (High performance)
เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T คอมมอนเรลไดเร็คอินเจคชั่นชนิดแรงดันสูง ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน เจนเนอเรชันใหม่เป็นเครื่องยนต์ที่ถูกพัฒนามาให้มีประสิทธิภาพสูง มอบพละกำลังสูงสุดถึง 135 กิโลวัตต์ หรือ 181 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที ด้วยแรงบิดที่สูงถึง 260 นิวตันเมตร ในรอบเครื่องต่ำ และแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตรแบบต่อเนื่องหรือแฟตทอร์คที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที ทำให้การออกตัวและการขับขี่ในพื้นที่ที่มีความท้าทายเป็นไปได้อย่างง่ายดายให้การอัตราการบริโภคน้ำมันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 11 วินาที การตอบสนองที่ฉับไวนี้ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางหรือเพิ่มความเร็วได้ทันใจในทุกสถานการณ์ โครงสร้างช่วงล่างแข็งแรงช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคงในทุกสถานการณ์ ทั้งการขับขี่ในเมืองและการขับขี่แบบออฟโรด สร้างความมั่นใจและมอบประสบการณ์การขับขี่เพื่อคนเมืองและสายลุย

4.รับประกันคุณภาพที่ยาวนาน 1 ล้านกิโลเมตร (High durability with Long term warranty)
เพื่อแสดงถึงความใส่ใจในคุณภาพและความทนทานของเครื่องยนต์ GWM ได้ทำการทดสอบเครื่องยนต์นี้ในสภาพอากาศหนาวและร้อนสุดขั้ว 300 ชั่วโมง ทดสอบการทำงานที่ความเร็วรอบสูงสุด 500 ชั่วโมง และในสภาพถนนและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันถึง 76 รูปแบบทั่วโลก โดยมีระยะทางรวม 6 ล้านกิโลเมตร GWM มุ่งมั่นและใส่ใจในคุณภาพและความทนทานของเครื่องยนต์เป็นอันดับแรก จากโครงสร้างการออกแบบที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงาน ลดเสียงและการสั่นสะเทือน ทำให้เครื่องยนต์รุ่นนี้มีความทนทานสูง ทั้งการใช้งานแบบขับขี่ในชีวิตประจำวัน การท่องเที่ยวสุดสัปดาห์ หรือแม้แต่การขับขี่แบบออฟโรดที่ต้องใช้พละกำลังและแรงบิดสูง GWM พร้อมสร้างความเชื่อมั่นด้วยการมอบการรับประกันคุณภาพเครื่องยนต์ที่ยาวนานและครอบคลุมมากขึ้นถึง 1 ล้านกิโลเมตร (หรือ 8 ปี) เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในคุณภาพของ GWM ในเครื่องยนต์นี้
เปิดสเปก ราคา GWM TANK 300 DIESEL 2.4T ในมอเตอร์โชว์ 2025
GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) นำเสนอ TANK 300 DIESEL ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ มาพร้อมกับ 3 รุ่นย่อย เพื่อตอบโจทย์สายลุยพร้อมโชว์ความหล่อทั้งในเมืองนอกเมือง ให้ได้เลือกรุ่นที่ใช่ ทั้ง รุ่น 2.4T PRO, รุ่น 2.4T ULTRA และ รุ่น 2.4T ULTRA 4WD พร้อมสีภายนอกให้เลือกถึง 4 สี ได้แก่ สีเทา สีดำ สีขาว และสีส้ม ในราคาแนะนำในช่วงการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ดังนี้
- NEW GWM TANK 300 DIESEL 2.4T รุ่น PRO ราคา 999,000 บาท
- NEW GWM TANK 300 DIESEL 2.4T รุ่น ULTRA ราคา 1,149,000 บาท
- NEW GWM TANK 300 DIESEL 2.4T ULTRA 4WD ราคา 1,249,000 บาท

ปรับแบรนด์สู่ระดับโลกจาก GWM (เกรท วอลล์ มอเตอร์) เรียก GWM (จี-ดับเบิลยู-เอ็ม)
การเปลี่ยนจากการเรียก Great Wall Motor (เกรท วอลล์ มอเตอร์) เป็น GWM (จี-ดับเบิลยู-เอ็ม) เป็นการปรับกลยุทธ์แบรนด์สู่ระดับโลก ให้เป็นแบรนด์หลัก “One GWM” และรวมแบรนด์ย่อย (Haval, Ora, Wey) ภายใต้ร่มเงา GWM เพื่อสร้างภาพลักษณ์เดียวเป็นสากล ทำให้ปัจจุบันมีการเรียกใช้ GWM (จี-ดับเบิลยู-เอ็ม) เป็นหลัก และเริ่มเปลี่ยนโลโก้หลังรถเป็น GWM ด้วย เพื่อให้ลูกค้าคุ้นเคยกับชื่อย่อ GWM ในฐานะแบรนด์แม่ที่ครอบคลุมทุกรุ่น.
เปลี่ยนชื่อ/เรียก
- ชื่อเดิม: Great Wall Motor (เกรท วอลล์ มอเตอร์)
- ชื่อใหม่/ปัจจุบัน: GWM (จี-ดับเบิลยู-เอ็ม)
- แนวคิดเบื้องหลัง: “One GWM” (GWM หนึ่งเดียว) หรือ “Global GWM” (GWM ระดับโลก)
- ทำไมถึงเปลี่ยน: เพื่อรวมแบรนด์ย่อย (เช่น Haval, Ora, Wey) เข้าเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์แม่ GWM ทำให้เป็นที่รู้จักในระดับสากลและสื่อสารง่ายขึ้น.
การนำไปใช้
- บริษัทปรับใช้ชื่อ GWM เป็นแบรนด์หลัก
- รถยนต์รุ่นใหม่ๆ เช่น Haval (ในบางตลาด) เริ่มมีโลโก้ GWM ปรากฏที่ด้านหลังรถ
- ในประเทศไทยก็มีการเรียกใช้ชื่อ GWM เป็นหลัก และปรับคอนเซ็ปต์เป็น “Go With More”

สตอรี่ ไทม์ไลน์ ไฮไลท์ GWM THANK 300 2.4T
GWM THANK 300 2.4T รถยนต์ SUV ถูกสร้างให้เป็นออฟโรดพิกัดเบา เด่นดีไซน์เรโทรสไตล์ ทรงเหลี่ยมบ็อกซี่ ที่เน้นความแกร่งและสมรรถนะการลุย มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.4L เทอร์โบ (Diesel) มีโหมดขับขี่หลากหลาย และระบบช่วยเหลือการขับขี่ (ADAS) ครบครัน เป็นรถน้องเล็กในตระกูล TANK ของ GWM (Great Wall Motor) และได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดรถยนต์ออฟโรดในไทย ด้วยราคาที่จับต้องได้และออฟชั่นที่จัดเต็ม กำเนิดของ “รถยนต์ SUV ทรง Boxy” (ทรงเหลี่ยม ตัวถังทรงกล่อง) เกิดจาก การใช้งานล้วน ๆ ก่อนที่จะกลายเป็นสไตล์และอัตลักษณ์ดีไซน์ในปัจจุบัน เราสรุปให้เห็นเป็นลำดับวิวัฒนาการ หลังเปิดสเปกและราคา GWM TANK 300 2.4T DIESEL เปิดราคามอเตอร์โชว์ 2025 จากนั้น หลังเปิดตัวไปกี่เดือน GWM TANK 300 2.4T DIESEL กลายเป็นรถธงที่นำ GWM (จี-ดับเบิลยู-เอ็ม) ก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 ของการดำเนินธุรกิจในไทยอย่างชื่นมื่น ด้วยยอดขายรายเดือนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา กว่า 1,731 คัน

เปิดตัว TANK 300 DIESEL Desert Storm Limited Edition ใน Motor Expo 2025
หลังประสบความสำเร็จ TANK 300 DIESEL ที่เปิดตัวในไทยช่วงปลายเดือนมีนาคม จนถึงปัจจุบันมียอดส่งมอบสะสมกว่า 6,000 คัน เพื่อเป็นการขอบคุณแฟน ๆ ชาวไทยกับการตอบรับที่ดี GWM จัดเซอร์ไพรส์พิเศษในงาน Motor Expo 2025 เปิดตัว NEW GWM TANK 300 DIESEL Desert Storm Limited Edition มาพร้อมชุดตกแต่งพิเศษรอบคัน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่มองหารถออฟโรดที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร โดยรุ่นพิเศษนี้มาพร้อมสีภายนอก Sand Beige สุดโดดเด่น ผสานกับกระจังหน้าโลโก้ TANK ขนาดใหญ่สีเดียวกับตัวรถ ชุดแต่งฝากระโปรงหน้า คิ้วกันกระแทกประตูด้านข้าง ฝาครอบล้ออะไหล่และฝาครอบไฟท้ายดีไซน์เฉพาะ รวมถึงชุดสเกิร์ตกันชนหน้า–หลังที่ช่วยเพิ่มบุคลิกดุดันและสะท้อน DNA ออฟโรดของ NEW GWM TANK 300 DIESEL ได้อย่างชัดเจน นักสะสมสายออฟโรดต้องไม่พลาดกับรุ่นพิเศษที่ผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดเพียง 300 คันเท่านั้น โดยมีราคาจำหน่ายที่ 1,349,000 บาท

ทดสอบสมรรถนะ แรงม้าแรงบิดถึงช่วงล่างหนึบตอบโจทย์
นอกเหนือจาก สตอรี่ ไทม์ไลน์ แล้ว ไฮไลท์ การทดลองขับ GWM TANK 300 DIESEL จัดอยู่ในตารางความเคลื่อนไหวของที่พลาดไม่ได้ ซึ่งเราไม่พลาดที่จะนำ GWM TANK 300 DIESEL มาทดสอบสมรรถนะให้แฟน incarsmagazine.com และ แฟนเพจ รวมถึงผู้ชม INCARS CANNEL ทาง Youtube โดย GWM TANK 300 DIESEL คันที่เรานำมาทดสอบเป็นรุ่น ULTRA ขับเคลื่อน 2 ล้อ ค่าตัว 1,149,000 บาท จากทั้งหมด 3 รุ่น (ข้างต้น) กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดถึง 480 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่อง 1,500 – 2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9AT) จ่ายเชื้อเพลิงแบบไดเร็คอินเจคชั่นแบบคอมมอนเรลแรงดันสูง 2,000 บาร์ กระบอกสูบที่ให้ความจุมาถึง 2,370 ซีซี และถังน้ำมันเชื้อเพลิงขนาดใหญ่ถึง 78 ลิตร มอบประสบการณ์ตอบโจทย์อรรถประโยชน์ที่หลากหลาย ตามนี้

-ระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ ดับเบิ้ล วิชโบน (Double wishbone) และระบบกันสะเทือนหลังแบบมัลติลิงค์
-ในรุ่น 2WD มาพร้อมโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมดปกติ โหมดสปอร์ต โหมดประหยัด ในรุ่น 4WD มาพร้อมโหมดการขับขี่ 9 โหมด ได้แก่ โหมดขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) และโหมดการขับขี่แบบออฟโรด ได้แก่ โหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) โหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อแบบอัตราทดเกียร์ต่ำ (4L) โหมดพื้นหิมะ โหมดพื้นหิน โหมดพื้นทราย โหมดภูเขา โหมดพื้นหลุมบ่อ และโหมดผู้เชี่ยวชาญ ทั้ง 3 รุ่นติดตั้งระบบแสดงภาพ 540 องศา (ระบบกล้องรอบคัน 360 องศา และระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ (Body transparent)) ระบบ Intelligent Start-Stop และโหมดช่วยผ่อนแรงพวงมาลัยมาอีก 3 โหมด ได้แก่ โหมดเบา โหมดสบาย และโหมดสปอร์ต

-ระบบเบรกหน้าและหลังแบบดิสก์เบรก ที่มีครีบระบายความร้อนสี่ล้อ
-ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) มาพร้อมระบบล็อกเฟืองขับด้านหลังแบบไฟฟ้า (Rear electric differential lock) พร้อมระบบช่วยกลับรถในพื้นที่แคบ (TANK TURN) และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบ Off-road

จุดเด่นๆข้างต้นคือสิ่งที่ต้องทดลองขับถึงจะเข้าใจ ซึ่งนอกเหนือจากความเป็น “Boxy utility vehicle” ที่เป็น “เฟิร์ส อิมเพรสชั่น” ของ GWM TANK 300 DIESEL คันนี้ ความประทับใจเมื่อได้ทดลองขับ นอกเหนือจากรูปทรงรูปร่างหน้าตา ตั้งแต่หัวจรดเท้าที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสวยแล้ว เมื่อได้คุยได้ขับได้จับ ต้องยอมรับเลยว่า “ดีเกินคาด” ไม่น่าเชื่อว่า GWM จะสร้าง เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T ได้ดีขนาดนี้ “เดินนิ่ง เงียบ” อัตราเร่งดี สมูท นี่คือเซอร์ไพรส์ แรก แล้วเมื่อได้ขับ(ระยะมาร่วมกว่า100กิโลเมตร)ยอมรับและต้องชมเลยว่าเครื่องยนต์ที่ว่า “เดินนิ่ง เงียบ” อัตราเร่งดี สมูทแล้ว เมื่อทำงานส่งกำลังไปที่เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9AT) ใช้!เรียก 9 สปีด ไม่เรียก9 จังหวะ คือการส่งกำลังทำงานราบเรียบแบบที่เรียกได้ว่าแทบไร้รอยต่อของการเปลี่ยนเกียร์ส่งกำลัง อันนี้ชอบจริง

ในขณะขับบนทางดำ(รุ่นที่ทดสอบเป็นรุ่นขับเคลื่อน2ล้อ)อัตราเร่งทันใจไต่ระดับได้ตามองศาการกดคันเร่งแบบสุภาพ ในโหมดประหยัด หากปรับเป็นโหมดปกติ คันเร่งจะไวขึ้นอีกสเต็ปทันใจขึ้นอีกระดับ หากต้องการความฉับไวอีกระดับให้ปรับไปที่ โหมดสปอร์ต คันเริ่งจะส่งข้อความด่วนไปยัง เครื่อง เกียร์ ให้ทำงานกระชับฉับไวขึ้น ทั้งลากรอบเครื่องยนต์ยาวขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเกียร์อัพ บนความเร็วเดินทางไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนตำแหน่งผู้ขับนับได้ว่าผ่อนคลายไม่เครียดรอบเครื่องยนต์อยู่ระดับมาตรฐานเสียงไม่เข้ามาในห้องโดยสารน้อยมาก ช่วงล่างนิ่งแบบตึงๆไม่ย้วยอาการแบบนี้ทำให้ผู้ขับและผู้โดยสารรับรู้ได้ถึงความมั่นใจบนความเร็วเดินทาง ส่งผลถึงการเมื่อยล่าจากการเดินทางลดน้อยลง

อย่าพึ่งว่าผู้เขียนอวย TANK 300 DIESEL คันนี้ จนกว่าคุณจะได้ลองขับ แน่นอนว่า TANK 300 DIESEL คันที่นำมาทดสอบเป็นรถใหม่ย่อมไม่มีอะไรบกพร่อง ใช้ไม่ปฏิเสธ เป็นเรื่องปกติที่จะมีการตั้งข้อสงสัยเมื่อใช้ระยะยาวเป็นอย่างไร ใครจะพิสูจน์ ยิ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ที่เพิ่มจะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเพียง 5 ปี ต่อข้อสงสัย ข้อกังวลเหล่านี้ ทาง GWM รู้ดี เพื่อความมั่นใจในคุณภาพเครื่องยนต์และรถยนต์ของพวกเค้าให้มีความน่าเชื่อถือสูงสุด GWM จึงให้การรับประกันคุณภาพเครื่องยนต์ที่ยาวนานและครอบคลุมมากขึ้นถึง 1 ล้านกิโลเมตร (หรือ 8 ปี) สิ่งนี้คือการตลาดที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคแบบชัดเจนที่สุดสำหรับบริษัทรถยนต์จากประเทศจีน ซึ่งนับเป็นสิ่งดี ทีนี้ต้องรอดูกันต่อไปว่าผลพิสูจน์เลขไมล์บนหน้าปัด TANK 300 DIESEL รูปทรงBoxyโดนใจจะสามารถพิสูจน์ว่าเครื่องยนต์ดีเซลบล๊อคนี้จะผ่านการการันตีได้หรือไม่ แต่ผู้เขียนเชื่อว่าถ้าไม่แน่จริง GWM คงไม่กล้าออกมาวางกลยุทธิ์การตลาดแบบนี้

เธอโผล่มาจากไหน Boxy utility vehicle
เมื่อสืบข้อมูลที่มาของรถยนต์ทรงกล่อง Boxy utility vehicle ได้ความตามลำดับ
1.จุดเริ่มต้น: รถทหารยุคสงครามโลก (1940s)
รถทรงกล่องไม่ได้เริ่มจากแฟชั่น แต่เริ่มจาก “ความจำเป็นทางทหาร”
•Willys Jeep (1941) คือรากฐานที่ชัดเจนที่สุด
ตัวถังทรงกล่องเพราะผลิตง่าย มุมมองทัศนวิสัยดี พื้นที่ใช้สอยภายในสูงสุด ขึ้น-ลงง่าย บรรทุกสัมภาระสะดวก
•หลังสงคราม รูปแบบนี้ถูกปรับเป็นรถพลเรือน เช่น Jeep CJ series
นี่คือแม่แบบของ “Boxy utility vehicle” ที่ยังคงมีอิทธิพลมากที่สุดจนถึงยุคนี้
2.ยุคบุกเบิก SUV จริงจัง (1950s–1970s)
ผู้ผลิตหลายรายเริ่มนำแพลตฟอร์มรถบรรทุก/รถทหารมาทำเป็นรถเอนกประสงค์
อาธิ:
•Land Rover Series I/II/III (1948–)
•Toyota Land Cruiser 40 Series (1960–)
•Ford Bronco รุ่นแรก (1966)
•International Harvester Scout (1961)
ทั้งหมดมีลักษณะร่วมคือ โครงสร้างแบบ Body-on-frame ตัวถังทรงเหลี่ยม แข็งแรง ปรับแต่งง่าย
ใช้งานกลางแจ้ง/ออฟโรดเป็นหลัก ทรงกล่องจึงเป็นผลมาจาก “ฟังก์ชันเหนือดีไซน์”
3.SUV กลายเป็นพาหนะไลฟ์สไตล์ (1980s–1990s)
ช่วงนี้ SUV เริ่มผสานความสบายและภาพลักษณ์หรู
•Jeep Cherokee XJ (1984) — หนึ่งในไอคอน boxy ที่มีอิทธิพลมาก
•Mercedes-Benz G-Class (1979) — จากรถทหารกลายเป็นรถหรู
•Land Rover Defender (1983) — ทรงกล่องเอกลักษณ์แบบคลาสสิก
ดีไซน์เหลี่ยมค่อย ๆ กลายเป็น “ตัวตน” ของรถลุย แทนที่จะเป็นแค่รูปทรงเพื่อการใช้งานเท่านั้น

4.ยุคที่ความโค้งมนครองตลาด แต่ Boxy กลับมาเป็นแฟชั่น (2000s–ปัจจุบัน) ช่วง 2000s
ผู้ผลิตหันไปทำรถทรงโค้ง ลู่ลม แต่มีหลายรุ่นที่ยังรักษา DNA boxy ไว้เพราะภาพลักษณ์แข็งแรง–ลุยได้ ภายในกว้างเพราะผนังตั้งฉาก ความรู้สึก “ย้อนยุค-ดิบ-แท้จริง” เป็นทรงที่มีเอกลักษณ์สูง แตกต่างจากรถทั่วไป
กลุ่มรถ Boxy ยุคใหม่ที่โดดเด่น:
•Suzuki Jimny
•Ford Bronco (revival 2021–)
•Land Rover Defender รุ่นใหม่
•Hyundai Casper (ตีตลาดรถเล็ก)
•G-Class ที่ยังคงดีไซน์เหลี่ยมตลอด 40 ปี
•SUV EV บางรุ่นที่หวนใช้เส้นตรงเพื่อความแตกต่าง เช่น Rivian R1S
5.ทำไม “Boxy” จึงอยู่ได้นาน
1.อารมณ์ความเป็น Off-road แท้
2.Iconic Design สังเกตปุ๊บจำได้ทันที
3.ความเรียบง่ายของเส้น ทำให้กลายเป็นสไตล์อมตะ
4.ความ Practical — ภายในกว้าง ไม่เสียพื้นที่โค้งมน
5.เป็นสัญลักษณ์ความเท่ ความแข็งแกร่ง (masculine utility)
สรุป
รถยนต์ SUV ทรง Boxy เกิดจากความจำเป็นทางทหาร-พัฒนาสู่รถใช้งานออฟโรด-กลายเป็นไอคอนดีไซน์-เป็นสไตล์ที่คงอยู่เพราะภาพลักษณ์แข็งแกร่งและฟังก์ชันที่ตอบโจทย์










